การดูแลสุขภาพของลูกน้อย นอกจากการดูแลสุขภาพทั่วไปเพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว การดูแลสุขภาพช่องปากของลูกน้อยก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นจะเป็นพื้นฐานของการมีสุขภาพฟันที่ดีต่อไปในอนาคต การดูแลสุขภาพของปากและฟันของลูกน้อยนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มทำให้ได้ตั้งแต่แรกเกิด ก่อนที่ลูกจะมีฟันซี่แรกขึ้นมา โดยมีวิธีการดูแลตามช่วงอายุดังนี้

ช่วงเก็บตัวอยู่บ้าน หรือพยายามออกจากบ้านให้น้อยที่สุดเพื่อป้องกันตัวเองและคนอื่นจากการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ล่าสุดหลังจากที่รัฐมีมาตรการปิดร้านอาหารที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง และอนุญาตให้ขายได้แต่อาหารประเภทนำกลับไปกินที่บ้าน หลายครอบครัวจึงเริ่มหันมาใช้เวลาลงมือทำอาหารกินเองมากขึ้น แม้การทำอาหารจะดูเป็นเรื่องของผู้ใหญ่มากกว่า แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวเล็กจะมาเป็นผู้ช่วยที่ดีไม่ได้นะคะ เพราะความจริงแล้วการเข้าครัวและหัดทำอาหารนั้นมีประโยชน์กับเด็กๆ ไม่น้อยเลย และเราคิดว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงประโยชน์ของการให้ลูกเข้ามาช่วยทำอาหารแล้ว จะต้องอยากเรียกเจ้าตัวน้อยเข้ามาช่วยกันในครัวแน่ๆ ค่ะ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยี เพราะแม้แต่เด็กๆ เองก็อาจจะเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยีต่างๆ ได้ยาก การสอนให้ลูกรู้จักและใช้อุปกรณ์เหล่านี้ หากคุณพ่อคุณแม่ไม่ดูแลอย่างใกล้ชิดหรือปล่อยให้ใช้ผิดวิธี ก็อาจจะส่งผลเสียกับลูกได้ แต่หากได้รับการดูแลจากคุณพ่อคุณแม่ และเลือกใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ก็จะมีประโยชน์พัฒนาการและการเรียนรู้ของลูกได้ หากคุณพ่อคุณแม่มีลูกน้อยที่อายุมากกว่าสองขวบขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยที่สามารถให้ลูกมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตได้อย่างมีระยะเวลาที่จำกัด

ปัจจุบันนี้ยอดผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรน่าเพิ่มขึ้นทุกวัน รายงานจากเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง “dailymail” ได้เปิดเผยว่า กรุงเทพเป็นเมืองที่อันตรายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากที่สุด โดยอ้างอิงจากสถิติการเดินทางออกนอกประเทศของประชากรเมืองอู่ฮั่น กรุงเทพติดเป็นอันดับ 1 ที่มีสถิติการเดินทางมากที่สุด ลองลงมาก็เป็นจังหวัดภูเก็ตที่อยู่ในอันดับ 7 และเชียงใหม่อันดับที่ 13 ตามลำดับ รายนี้เป็นสถิติการเดินทางของประชากรเมืองอู่ฮั่นที่เข้ามายังประเทศไทยก่อนจะที่มีข่าวระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าอย่างหนักไม่นานมานี้เอง

ในขณะที่เชื้อไวรัส COVID-19 กำลังแพร่ระบาด และส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากการป้องกันตัวเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อยๆ แล้ว การลดความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อและแพร่เชื้อต่อไปก็คือลดการออกนอกบ้าน และที่เริ่มได้ยินคนพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือการทำ Social Distancing

เพื่อให้ก้าวแรกของชีวิตลูกน้อยเริ่มต้นอย่างดีที่สุด สู่ความเป็นอัจฉริยะ รอบด้านในอนาคต ตั้งแต่วันแรกที่คุณแม่ตั้งครรภ์ อย่าพลาดที่จะเริ่มก้าวแรก ของตัวเองให้ดีที่สุดเช่นกัน แล้วแต่ละก้าวในเดือนนี้จะเป็นอย่างไร? ทุกคำตอบได้รวมไว้แล้วที่นี่ ให้คุณได้เรียนรู้และทำตามได้ง่ายๆ แบบก้าวต่อก้าว

ในปัจจุบันมีโรคต่างๆ มากมายหลายชนิดที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ในเด็กเล็ก เรามาทำความรู้จักโรคยอดฮิตในเด็กเล็กที่พบได้บ่อยๆ ว่ามีโรคอะไรบ้าง และเราจะมีวิธีดูแลและป้องกันลูกน้อยจากโรคต่างๆ เหล่านี้กันได้อย่างไรกัน

การเริ่มอาหารเสริมสำหรับเด็ก มื้อแรกให้ลูกน้อยเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารตามวัยอย่างถูกต้องเหมาะสม และเป็นการเริ่มฝึกนิสัยการทานอาหารที่ดีต่อไปในอนาคต

ผักนับเป็นอาหารที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นอย่างมากต่อลูกน้อย เพราะผักเป็นแหล่งที่สำคัญของวิตามิน, เกลือแร่ และที่สำคัญคือเป็นแหล่งสำคัญของใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายให้ลูกน้อยขับถ่ายได้สะดวก ไม่มีปัญหาท้องผูก แต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้เด็กๆไม่ชอบการกินผักก็คือ รสชาติของผักที่อาจมีรสขม หรือลักษณะเป็นชิ้นแข็ง เคี้ยวได้ยาก เรามีเคล็ดลับง่ายๆที่จะช่วยให้ลูกน้อยสามารถทานผักได้มาฝากกันค่ะ

พัฒนาการเด็กแต่ละช่วงวัยเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ปกครองไม่ควรละเลย ลูกน้อยที่ได้รับการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสมตามวัยของเขาโดยเฉพาะในช่วงสามปีแรก นั่นหมายถึงร่างกาย จิตใจ และสมองจะได้รับการพัฒนาไปพร้อมกัน ส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ต่อไปในอนาคต

คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมอยากให้ลูกได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง และไม่ทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก เราจึงลงโทษลูกด้วยการไทม์เอาท์บ้าง โดยให้ไปยืนหันหลังอยู่ในมุม หรือไม่ก็ขึ้นไปนั่งสำนึกผิดอยู่ในห้องของตนเองเงียบๆ หรือบางครอบครัวอาจจะใช้วิธีตีลูกบ้าง แต่ไม่ว่าจะลงโทษลูกด้วยวิธีไหน ลูกก็ยังคงทำความผิดในเรื่องเดิมอยู่ดี แล้วเราจะฝึกลูกให้มีวินัยได้อย่างไรกันล่ะ!

คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่าในหนึ่งวัน เด็กๆ ได้รับคำตอบในแง่ลบเฉลี่ยวันละ 432 ครั้ง และคำตอบแง่บวกเพียงแค่ 32 ครั้ง (อ้างอิงจากหนังสือ Redirecting Children’s Behavior ของ Kathryn J. Kvols)